การจำ
กิลฟอร์ด (Guilford, 1956) กล่าวว่า ความจำเป็นความสามารถที่จะเก็บหน่วยความรู้ไว้ และสามารถระลึกได้หรือนำหน่วยความรู้นั้นออกมาใช้ได้ในลักษณะเดียวกันกับที่เก็บเข้าไว้ ความสามารถด้านความจำเป็นความสามารถที่จำเป็นในกิจกรรมทางสมองทุกแขนง
เทอร์สโตน (Turstone, 1958) กล่าวว่า สมรรถภาพสมองด้านความจำเป็นสมรรถภาพด้านการระลึกได้และการจดจำเหตุการณ์หรือเรื่องราวต่างๆ ได้ถูกต้องแม่นยำ
ชวาล แพรัตกุล (2514) กล่าวว่า คุณลักษณะนี้คือความสามารถของสมองในการบันทึกเรื่องราวต่างๆ รวมทั้งที่มีสติระลึกจนสามารถถ่ายทอดออกมาได้อย่างถูกต้อง
ความหมายของความจำ (Flavell, Miller, & Miller,2001) ความจำเป็นที่ที่บุคคลใช้เก็บรักษาข้อมูลความรู้ต่างๆ
ที่เขาได้รับจากการมีปฏิสัมพันธ์กับโลกภายนอก ซึ่งส่งผลให้บุคคลสามารถเรียนรู้จากประสบการณ์ในอดีต
เข้าใจสิ่งต่างๆ ในปัจจุบัน และคาดการณ์ไปยังอนาคตได้
ความจำ ในจิตวิทยา ความจำ (อังกฤษ: memory) เป็นกระบวนการที่ข้อมูลต่าง ๆ รับการเข้ารหัส การเก็บไว้ และการค้นคืน เนื่องจากว่า
ในระยะแรกนี้ ข้อมูลจากโลกภายนอกมากระทบกับประสาทสัมผัสต่าง ๆ (มีตาเป็นต้น) ในรูปแบบของสิ่งเร้าเชิงเคมีหรือเชิงกายภาพ
จึงต้องมีการเปลี่ยนข้อมูลไปเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งก็คือการเข้ารหัส เพื่อที่จะบันทึกข้อมูลไว้ในความจำได้
ระยะที่สองเป็นการเก็บข้อมูลนั้นไว้ ในสภาวะที่สามารถจะรักษาไว้ได้เป็นระยะเวลาหนึ่ง
ส่วนระยะสุดท้ายเป็นการค้นคืนข้อมูลที่ได้เก็บเอาไว้ ซึ่งก็คือการสืบหาข้อมูลนั้นที่นำไปสู่การสำนึกรู้
ให้สังเกตว่า การค้นคืนความจำบางอย่างไม่ต้องอาศัยความพยายามภายใต้อำนาจจิตใจ
จากมุมมองเกี่ยวกับกระบวนการประมวลข้อมูล มีระยะ 3 ระยะในการสร้างและค้นคืนความจำ คือ
1.การเข้ารหัส (encoding) เป็นการรับ
การแปลผล และการรวบรวมข้อมูลที่ได้รับ
2.การเก็บ (storage) เป็นการบันทึกข้อมูลที่ได้เข้ารหัสแล้วอย่างถาวร
3.การค้นคืน (retrieval หรือ recollection) หรือ การระลึกถึง เป็นการระลึกถึงข้อมูลที่ได้บันทึกไว้แล้วโดย เป็นกระบวนการตอบสนองต่อตัวช่วย
(cue) เพื่อใช้ในพฤติกรรมหรือกิจกรรมอะไรบางอย่าง
การสูญเสียความจำเรียกว่าเป็นความหลงลืม หรือถ้าเป็นโรคทางการแพทย์
ก็จะเรียกว่า ภาวะเสียความจำ
ประเภทความจำ
การจัดประเภทโดยประเภทข้อมูล
ความจำอาศัยภูมิประเทศ" (Topographic memory) เป็นความสามารถในการกำหนดตำแหน่งของตนในพื้นที่ ในการรู้จำและดำเนินไปตามเส้นทาง
หรือในการรู้จำสถานที่ที่คุ้นเคย[15] การหลงทางเมื่อเดินทางไปตามลำพังเป็นตัวอย่างหนึ่งข้อความล้มเหลวของความจำอาศัยภูมิประเทศ
ความจำแบบหลอดแฟลช" (Flashbulb memories) เป็นความจำอาศัยเหตุการณ์ (episodic memory) ที่ชัดเจนเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่พิเศษและประกอบด้วยอารมณ์ความรู้สึกสูง
ตัวอย่างเช่น การจำได้ว่าตนอยู่ที่ไหนทำอะไรอยู่เมื่อได้ยินข่าวการลอบสังหารประธานาธิบดีจอห์น
เอฟ. เคนเนดี หรือข่าววินาศกรรม 11 กันยายน พ.ศ. 2544 เป็นตัวอย่างของความจำแบบหลอดแฟลชในปี
ค.ศ. 1976 นักจิตวิทยาจอห์น รอเบิรต์ แอนเดอร์สัน ได้แบ่งความจำระยะยาวออกเป็นความจำเชิงประกาศ (declarative หรือ explicit memory) และความจำเชิงกระบวนวิธี
(procedural หรือ implicit memory)
ความจำเชิงประกาศ ความจำเชิงประกาศนั้นกำหนดด้วยการต้องระลึกถึงภายใต้อำนาจจิตใจ
(เหนือสำนึก) คือมีกระบวนการประกอบด้วยความสำนึกที่ค้นคืนข้อมูลที่ต้องการที่จะค้นคืน
เป็นระบบที่บางครั้งเรียกว่าความจำชัดแจ้ง (explicit memory) เพราะเป็นข้อมูลที่ต้องจำและค้นคืนอย่างเปิดเผยชัดแจ้ง (ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น)
ความจำชัดแจ้ง สามารถแบ่งประเภทย่อย ๆ ออกเป็นความจำอาศัยความหมาย
(semantic memory) ซึ่งเป็นความจำเกี่ยวกับความจริงต่าง
ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับเหตุการณ์และสิ่งแวดล้อม และความจำอาศัยเหตุการณ์ (episodic
memory) ซึ่งเป็นความจำเกี่ยวกับข้อมูลที่เชื่อมกับเหตุการณ์สิ่งแวดล้อมเช่นเวลาและสถานที่
ความจำอาศัยความหมายทำให้เกิดการเข้ารหัสความรู้เชิงนามธรรมต่าง ๆ เกี่ยวกับโลกได้
เช่นความรู้ว่า "กรุงปารีสเป็นเมืองหลวงของประเทศฝรั่งเศส" เปรียบเทียบกับความจำอาศัยเหตุการณ์
ซึ่งใช้ในเรื่องความจำเกี่ยวกับตนเอง เช่นความรู้สึกทางประสาทสัมผัส อารมณ์ความรู้สึก
และความสัมพันธ์ที่เป็นอัตวิสัยของสิ่งนั้นกับสถานที่และเวลาโดยเฉพาะ ๆ
ระบบความจำ
ระบบความจำ (Memory System)
เป็นการนำข้อมูลจัดเก็บไว้ให้เกิดเป็นความทรงจำ ผ่านการจำได้ (Remember)
โดยสามารถแบ่งระดับของการจำได้ออกเป็น 3 ระดับ
ได้แก่
1) การจำจากการรับรู้สัมผัส (sensory memory) เป็นความทรงจำที่เกิดขึ้นเนื่องจากการรับรู้ เช่น ภาพ เสียง ซึ่งจะมีการจดจำได้ในระยะสั้น
2) ความทรงจำระยะสั้น (short term memory) เป็นความทรงจำที่ได้รับการจัดเก็บไว้แล้ว และมีการนำกลับมาใช้หรือไม่ก็ได้ กลายเป็นความทรงจำชั่วคราว ซึ่งระบบจะทำการลืมข้อมูลนี้ไปในระยะ 30 วินาที แต่จะมีการคงไว้ในสมอง ซึ่งอาจดึงกลับมาในอนาคตได้ถ้ามีภาวะวิกฤติเกิดขึ้น เช่นการจดจำคำพูด ภาพโฆษณา
3) ความทรงจำระยะยาว (long term memory) เป็นความทรงจำที่ได้รับการตีค่าว่ามีความหมาย ได้รับการเรียนรู้ซ้ำๆ เกิดการจดจำอย่างต่อเนื่อง และสามารถดึงกลับมาใช้ได้ หากมีสิ่งกระตุ้นความทรงจำที่เหมาะสม เช่น การจดจำบทเรียน ภาพสถานที่ต่างๆ
1) การจำจากการรับรู้สัมผัส (sensory memory) เป็นความทรงจำที่เกิดขึ้นเนื่องจากการรับรู้ เช่น ภาพ เสียง ซึ่งจะมีการจดจำได้ในระยะสั้น
2) ความทรงจำระยะสั้น (short term memory) เป็นความทรงจำที่ได้รับการจัดเก็บไว้แล้ว และมีการนำกลับมาใช้หรือไม่ก็ได้ กลายเป็นความทรงจำชั่วคราว ซึ่งระบบจะทำการลืมข้อมูลนี้ไปในระยะ 30 วินาที แต่จะมีการคงไว้ในสมอง ซึ่งอาจดึงกลับมาในอนาคตได้ถ้ามีภาวะวิกฤติเกิดขึ้น เช่นการจดจำคำพูด ภาพโฆษณา
3) ความทรงจำระยะยาว (long term memory) เป็นความทรงจำที่ได้รับการตีค่าว่ามีความหมาย ได้รับการเรียนรู้ซ้ำๆ เกิดการจดจำอย่างต่อเนื่อง และสามารถดึงกลับมาใช้ได้ หากมีสิ่งกระตุ้นความทรงจำที่เหมาะสม เช่น การจดจำบทเรียน ภาพสถานที่ต่างๆ
ทฤษฎีการเรียนรู้ของบลูม
บลูม (Bloom.1976) เป็นนักการศึกษาชาวอเมริกัน
เชื่อว่า การเรียนการสอนที่จะประสบความสำเร็จและมีประสิทธิภาพนั้น ผู้สอนจะต้องกำหนดจุดมุ่งหมายให้ชัดเจนแน่นอน
เพื่อให้ผู้สอนกำหนดและจัดกิจกรรมการเรียนรวมทั้งวัดประเมินผลได้ถูกต้อง และบลูมได้แบ่งประเภทของพฤติกรรมโดยอาศัยทฤษฎีการเรียนรู้และจิตวิทยาพื้น
ฐานว่า มนุษย์จะเกิดการเรียนรู้ใน 3 ด้านคือ ด้านสติปัญญา
ด้านร่างกาย และด้านจิตใจ และนำหลักการนี้จำแนกเป็นจุดมุ่งหมายทางการศึกษาเรียกว่า
Taxonomy of Educational objectives (อติญาณ์ ศรเกษตริน.
2543:72-74 ; อ้างอิงจาก บุญชม ศรีสะอาด. 2537; Bloom.
1976: 18)
จุดประสงค์ที่สำคัญของการเรียนการสอน
คือ เพื่อให้บุคคลเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปในทางที่พึงประสงค์
พฤติกรรมเหล่านี้จำแนกและจัดลำดับออกเป็นหมวดหมู่และระดับตามความยากง่ายหมวดหมู่เหล่านี้เรียกว่า
Taxonomy
of Educational objectives แบ่งเป็น 3 หมวด
1. พฤติกรรมพุทธิพิสัย (Cognitive
Domain)
2. พฤติกรรมจิตพิสัย (Affective Domain)
3. พฤติกรรมทักษะพิสัย (Psychomotor Domain)
2. พฤติกรรมจิตพิสัย (Affective Domain)
3. พฤติกรรมทักษะพิสัย (Psychomotor Domain)
พฤติกรรมพุทธิพิสัย
(Cognitive
Domain)
พฤติกรรมพุทธิพิสัย (Cognitive
Domain) หมายถึง การเรียนรู้ทางด้านความคิด ความรู้การแก้ปัญหา
จัดเป็นพฤติกรรมทางด้านสมอง และสติปัญญา โดย Benjamin S. Bloom และคณะเป็นผู้คิดขึ้น แบ่ง ออกเป็น
6 ระดับ ดังนี้
1.1 ความรู้ (Knowledge)
หมายถึง ความสามารถในการที่จะจดจำ (Memorization) และระลึกได้ (Recall) เกี่ยวกับความรู้ที่ได้รับไปแล้ว
อันได้แก่ ความรู้เกี่ยวกับข้อมูลต่าง ๆ ที่เจาะจงหรือเป็นหลักทั่ว ๆ ไป วิธีการ
กระบวนการต่าง ๆ โครงสร้าง สภาพของสิ่งต่าง ๆ และสามารถถ่ายทอดออกมาโดยการพูด
เขียน หรือกิริยาท่าทาง แบ่งประเภทตามลำดับความซับซ้อนจากน้อยไปหามาก เช่น
การเรียนรู้ว่าอาหารหลักมี 5 หมู่ เป็นต้น
1.2 ความเข้าใจ (Comprehension) สามารถให้ความหมาย แปล
สรุป หรือเขียนเนื้อหาที่กำหนด
ใหม่ได้
โดยที่สาระหลักไม่เปลี่ยนแปลง
1.3 การนำไปใช้ (Application) สามารถนำวัสดุ วิธีการ ทฤษฏี แนวคิด มาใช้ในสถานการณ์ที่แตกต่างจากที่ได้เรียนรู้มา เช่น เรียนทำอาหารมาแล้ว สามารถประกอบอาหารได้หลายอย่างโดยใช้ความรู้ที่มีอยู่ สามารถรู้ว่าอาหารปริมาณ แค่ไหนต้องใส่น้ำปลาเท่าใดเป็นต้น
1.4 การวิเคราะห์ (Analysis) สามารถแยก จำแนก องค์ประกอบที่สลับซับซ้อนออกเป็นส่วน ๆ ให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างส่วนย่อยต่าง ๆ เช่น เรียนทำอาหารมาแล้ว พอมาพบกับอาหารที่ปรุงเสร็จแล้ว สามารถวิเคราะห์ได้ว่า ประกอบด้วยอะไรบ้าง วิธีปรุงอย่างไร ใช้ไฟเบา หรือไฟแรง เป็นต้น
1.3 การนำไปใช้ (Application) สามารถนำวัสดุ วิธีการ ทฤษฏี แนวคิด มาใช้ในสถานการณ์ที่แตกต่างจากที่ได้เรียนรู้มา เช่น เรียนทำอาหารมาแล้ว สามารถประกอบอาหารได้หลายอย่างโดยใช้ความรู้ที่มีอยู่ สามารถรู้ว่าอาหารปริมาณ แค่ไหนต้องใส่น้ำปลาเท่าใดเป็นต้น
1.4 การวิเคราะห์ (Analysis) สามารถแยก จำแนก องค์ประกอบที่สลับซับซ้อนออกเป็นส่วน ๆ ให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างส่วนย่อยต่าง ๆ เช่น เรียนทำอาหารมาแล้ว พอมาพบกับอาหารที่ปรุงเสร็จแล้ว สามารถวิเคราะห์ได้ว่า ประกอบด้วยอะไรบ้าง วิธีปรุงอย่างไร ใช้ไฟเบา หรือไฟแรง เป็นต้น
1.5 การสังเคราะห์ (Synthesis) หมายถึง
ความสามารถในการรวบรวม หรือนำองค์ประกอบหรือ
ส่วนต่าง
ๆ เข้ามารวมกัน เพื่อให้เป็นภาพพจน์โดยสมบูรณ์ เป็นกระบวนการพิจารณาแต่ละส่วนย่อย
ๆ แล้วจัดรวมกันเป็นหมวดหมู่ ให้เกิดเรื่องใหม่หรือสิ่งใหม่
สามารถสร้างหลักการกฎเกณฑ์ขึ้นเพื่ออธิบายสิ่งต่าง ๆ ได้ เช่น
สรุปเหตุผลตามหลักตรรกวิทยา การคิดสูตรสำหรับหาจำนวนที่เป็นอนุกรม
1.6 การประเมินค่า (Evaluation) สามารถตัดสิน ตีราคาคุณภาพของสิ่งต่าง ๆ โดยมีเกณฑ์หรือมาตรฐานเป็นเครื่องตัดสิน เช่น การตัดสินกีฬา ตัดสินคดี หรือประเมินว่าสิ่งนั้นดี ไม่ดี ถูกต้องหรือไม่ โดยประมวลมาจากความรู้ทั้งหมดที่มี
1.6 การประเมินค่า (Evaluation) สามารถตัดสิน ตีราคาคุณภาพของสิ่งต่าง ๆ โดยมีเกณฑ์หรือมาตรฐานเป็นเครื่องตัดสิน เช่น การตัดสินกีฬา ตัดสินคดี หรือประเมินว่าสิ่งนั้นดี ไม่ดี ถูกต้องหรือไม่ โดยประมวลมาจากความรู้ทั้งหมดที่มี
แนวคิด Cognitive
Domain ของแอนเดอร์สัน
แอนเดอร์สัน (Anderson) ได้ชี้ให้เห็นว่ากระบวนการทางพุทธิปัญญาที่นาเสนอโดยบลูมนาไปสู่ความเข้าใจของคนทั่วไปว่ากระบวนการดังกล่าวไม่สามารถทับซ้อนหรือเหลื่อมล้ากันได้
จะต้องบรรลุกระบวนการ
ในระดับที่ต่ำกว่าให้ได้ทั้งหมดก่อน
จึงจะสามารถบรรลุถึงกระบวนการในระดับที่สูงได้นั้นเป็นมาตรฐานที่เข้มงวดเกินไป (วิทวัฒน์ ขัตติยะมาน และ ฉัตรศิริ ปิยะพิมลสิทธิ์. ม.ป.ป : 2) ต่อมาในช่วง ปี
1990s แอนดอร์สัน และ แครทโวทล์ (Anderson & Krathwohl.
2001) ได้ทำการปรับปรุงการจำแนกจุดมุ่งหมายทางการศึกษาใหม่เพื่อให้ง่ายต่อการนำไปใช้งานและปรับปรุง
และนำเสนอแนวคิดไว้ ในหนังสือเรื่อง “A Taxonomy for Learning, Teaching
and Assessing: A Revision of Bloom's Taxonomy of Educational Outcomes” ในปี 2001 ซึ่งการปรับปรุงการจำแนกจุดมุ่งหมายทางการศึกษา
ที่นำเสนอโดย แอนดอร์สัน และ แครทโวทล์ เป็นการปรับเปลี่ยนจุดประสงค์ทางการด้านพุทธิปัญญา
ในสองประเด็น คือ การปรับเปลี่ยนขั้นตอนและคำศัพท์ที่ใช้ในกระบวนการพุทธิปัญญา และเพิ่มโครงสร้างจากมิติเดียวเป็นสองมิติ
ดังนี้ (Krathwohl. 2002 : 213-217)
กระบวนการและคำศัพท์ที่ใช้ในกระบวนการพุทธิปัญญาของบลูมแบบดั้งเดิม และแบบปรับปรุงใหม่
กระบวนการและคำศัพท์เดิม
|
กระบวนการและคำศัพท์ใหม่
|
1.
ความรู้ (Knowledge)
|
1.
จำ (Remember)
|
2.
ความเข้าใจ (Comprehension)
|
2.
เข้าใจ (Understand)
|
3.
การนำไปใช้ (Application)
|
3.
ประยุกต์ใช้ (Apply)
|
4.
การวิเคราะห์ (Analysis)
|
4.
วิเคราะห์ (Analyze)
|
5.
การสังเคราะห์ (Synthesis)
|
5.
ประเมินค่า (Evaluate)
|
6.
การประเมินค่า (Evaluation)
|
6.
สร้างสรรค์ (Create)
|
กระบวนการและคำศัพท์ใหม่อธิบายได้ดังนี้
1.1 จำ (Remember) หมายถึง ความสามารถในการดึงเอาความรู้ที่มีอยู่ในหน่วยความจำระยะยาว
ออกมา
แบ่งประเภทย่อยได้
2 ลักษณะ คือ
1.1.1 จำได้ (Recognizing)
1.1.2 ระลึกได้ (Recalling)
1.2 เข้าใจ (Understand) หมายถึง ความสามารถในการกำหนดความหมายของคำพูด
ตัวอักษร และ
การสื่อสารจากสื่อต่างๆ
ที่เป็นผลมาจากการสอน แบ่งประเภทย่อยได้ 7 ลักษณะ คือ
1.2.1 ตีความ (Interpreting)
1.2.2 ยกตัวอย่าง (Exemplifying)
1.2.3 จำแนกประเภท (Classifying)
1.2.4 สรุป (Summarizing)
1.2.5 อนุมาน (Inferring)
1.2.6 เปรียบเทียบ (Comparing)
1.2.7 อธิบาย (Explaining)
1.3 ประยุกต์ใช้ (Apply) หมายถึง ความสามารถในการดำเนินการหรือใช้ระเบียบวิธีการภายใต้
สถานการณ์ที่กำหนดให้
แบ่งประเภทย่อยได้
2 ลักษณะ คือ
1.3.1 ดำเนินงาน (Executing)
1.3.2 ใช้เป็นเครื่องมือ (Implementing)
1.4 วิเคราะห์ (Analyze) หมายถึง ความสามารถในการแยกส่วนประกอบของสิ่งต่างๆและค้นหา
ความสัมพันธ์ระหว่างส่วนประกอบ
ความสัมพันธ์ระหว่างของส่วนประกอบกับโครงสร้างรวมหรือส่วนประกอบเฉพาะ แบ่งประเภทย่อยได้ 3 ลักษณะ คือ
1.4.1 บอกความแตกต่าง (Differentiating)
1.4.2 จัดโครงสร้าง (Organizing)
1.4.3 ระบุคุณลักษณะ (Attributing)
1.5 ประเมินค่า (Evaluate) หมายถึง ความสามารถในการตัดสินใจโดยอาศัยเกณฑ์หรือมาตรฐาน
แบ่งประเภทย่อยได้ 2 ลักษณะ คือ
1.5.1 ตรวจสอบ (Checking)
1.5.2 วิพากษ์วิจารณ์ (Critiquing)
1.6 สร้างสรรค์ (Create) หมายถึง ความสามารถในการรวมส่วนประกอบต่างๆ
เข้าด้วยกันด้วยรูปแบบใหม่ๆ
ที่มีความเชื่อมโยงกันอย่างมีเหตุผล หรือทาให้ได้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นต้นแบบ
แบ่งประเภทย่อยได้ 3 ลักษณะ คือ
1.6.1 สร้าง (Generating)
1.6.2 วางแผน (Planning)
1.6.3 ผลิต (Producing)
จิตพิสัย (Affective Domain) (พฤติกรรมด้านจิตใจ)
ค่านิยม ความรู้สึก ความซาบซึ้ง ทัศนคติ ความเชื่อ
ความสนใจและคุณธรรม พฤติกรรมด้านนี้อาจไม่เกิดขึ้นทันที ดังนั้น
การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยจัดสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม
และสอดแทรกสิ่งที่ดีงามอยู่ตลอดเวลา
จะทำให้พฤติกรรมของผู้เรียนเปลี่ยนไปในแนวทางที่พึงประสงค์ได้ จะประกอบด้วย
พฤติกรรมย่อยๆ 5 ระดับ ได้แก่
1.การรับรู้ เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นต่อปรากฏการณ์
หรือสิ่งเร้าอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นไปในลักษณะของการแปลความหมายของสิ่งเร้านั้นว่าคืออะไร
แล้วจะแสดงออกมาในรูปของความรู้สึกที่เกิดขึ้น
2.การตอบสนอง เป็นการกระทำที่แสดงออกมาในรูปของความเต็มใจ ยินยอม
และพอใจต่อสิ่งเร้านั้น ซึ่งเป็นการตอบสนองที่เกิดจากการเลือกสรรแล้ว
3.การเกิดค่านิยม เป็นการเลือกปฏิบัติในสิ่งที่เป็นที่ยอมรับกันในสังคม
ซึ่งจะแสดงออกมาในรูปของการยอมรับนับถือในคุณค่านั้น ๆ
หรือปฏิบัติตามในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง จนกลายเป็นความเชื่อ
แล้วจึงเกิดทัศนคติที่ดีในสิ่งนั้น
4.การจัดระบบ เป็นการสร้างแนวคิดและจัดระบบของค่านิยมที่เกิดขึ้น
ซึ่งจะรวบรวมค่านิยมเหล่านั้น โดยอาศัยความสัมพันธ์กับสิ่งที่ยึดถือ
เพื่อใช้เป็นหลักในการพิจารณาในเรื่องต่าง ๆ ถ้าเข้ากันได้ก็จะยึดถือต่อไป
แต่ถ้าขัดกันอาจไม่ยอมรับค่านิยมใหม่
หรืออาจจะยอมรับค่านิยมใหม่โดยยกเลิกค่านิยมเก่าไปก็ได้
5.บุคลิกภาพ เป็นการนำค่านิยมที่ยึดถือนั้นมาใช้
เป็นตัวควบคุมพฤติกรรมที่เป็นนิสัยประจำตัวของตน
ให้ประพฤติปฏิบัติแต่สิ่งที่ถูกต้องดีงาม
พฤติกรรมด้านจิตพิสัยนี้
จะเกี่ยวกับความรู้สึกและจิตใจ ซึ่งจะเริ่มจากการได้รับรู้จากสิ่งแวดล้อม
แล้วจึงเกิดปฏิกิริยาโต้ตอบ จากนั้นขยายกลายเป็นความรู้สึกด้านต่าง ๆ จนกลายเป็นค่านิยม
และยังพัฒนาต่อไปเป็นความคิด อุดมคติ ซึ่งจะเป็นควบคุมทิศทางพฤติกรรมของคน
คนจะรู้ดีรู้ชั่วอย่างไรนั้น ก็เป็นผลของพฤติกรรมด้านนี้
ทักษะพิสัย (Psychomotor Domain) (พฤติกรรมด้านกล้ามเนื้อประสาท)
พฤติกรรมที่บ่งถึงความสามารถในการปฏิบัติงานได้อย่างคล่องแคล่วชำนิชำนาญ
ซึ่งแสดงออกมาได้โดยตรงโดยมีเวลาและคุณภาพของงานเป็นตัวชี้ระดับของทักษะประกอบด้วย 5 ขั้น ดังนี้
1.การรับรู้ เป็นการให้ผู้เรียนได้รับรู้หลักการปฏิบัติที่ถูกต้อง
หรือ เป้นการเลือกหาตัวแบบที่สนใจ
2.กระทำตามแบบ เป็นพฤติกรรมที่ผู้เรียนพยายามฝึกตามแบบที่ตนสนใจและพยายามทำซ้ำ
เพื่อที่จะให้เกิดทักษะตามแบบที่ตนสนใจให้ได้ หรือ สามารถปฏิบัติงานได้ตามข้อแนะนำ
3.การหาความถูกต้อง เป็นพฤติกรรมที่ผู้เรียนสามารถปฏิบัติงานได้ด้วยตนเอง
โดยไม่ต้องอาศัยเครื่องชี้แนะ เมื่อได้กระทำซ้ำแล้ว
ก็พยายามหาความถูกต้องในการปฏิบัติ ซึ่งจะพัฒนาเป็นรูปแบบของตัวเอง
อาจจะเหมือนหรือไม่เหมือนกับตัวแบบเดิมก็ได้
4.การกระทำอย่างต่อเนื่องหลังจากตัดสินใจ
หลังจากที่ได้ตัดสินใจเลือกรูปแบบที่เป็นของตัวเองก็จะมีการกระทำตามรูปแบบนั้นอย่างต่อเนื่อง
จนปฏิบัติงานที่ยุ่งยากซับซ้อนได้
เป็นพฤติกรรมที่ผู้เรียนสามารถปฏิบัติงานได้อย่างรวดเร็ว ถูกต้อง และคล่องแคล่ว
นั่นคือ เกิดทักษะขึ้นแล้ว การที่จะทำให้ผู้เรียนเกิดทักษะได้จะต้องอาศัยการฝึกฝนในเรื่องนั้น
และกระทำอย่างสม่ำเสมอ
5. การกระทำได้อย่างเป็นธรรมชาติ
เป็นพฤติกรรมสุดท้ายที่จะได้จากการฝึกอย่างต่อเนื่อง
จนสามารถปฏิบัติสิ่งนั้น ๆ ได้คล่องแคล่วว่องไว โดยอัตโนมัติ
ดูเป็นไปอย่างธรรมชาติไม่ขัดเขิน ซึ่งถือเป็นความสามารถของการปฏิบัติในระดับสูง
จากทฤษฎีดังกล่าวคือผู้เรียนทุกคนนั้นต้องมีพื้นฐานในการเรียนรู้ทุกคน แต่อาจจะไม่เท่ากันเพราะคนเรามีการเรียนรู้ที่ต่างกัน บางคนพบเจอสิ่งที่แตกต่างจากคนอื่นก็จะมีความรู้ความเข้าใจที่ต่างจากคนอื่น
แต่ถ้าผู้เรียนมีพื้นฐานในการเรียนรู้คล้ายๆกันมีความรู้ ความเข้าใจ
มีการนำความรู้ไปใช้ประโยชน์คล้ายๆ กัน ผลการเรียนรู้ของคนกลุ่มนี้ก็จะคล้ายกันด้วย
การที่ผู้เรียนจะเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้นผู้เรียนจะต้องมีความกระตือรือร้นตลอดเวลา
ผู้เรียนจะต้องมีความรู้ ความเข้าใจในสิ่งที่เราจะเรียนรู้
เมื่อมีความเข้าใจแล้วต้องวิเคราะห์ให้ได้ก่อนจากนั้นถึงจะประเมินค่า
จากทฤษฎีดังกล่าวกล่าวว่ามนุษย์จะเกิดการเรียนรู้ใน 3 ด้านคือ ด้านสติปัญญา
ด้านร่างกาย และด้านจิตใจ ทุกสิ่งนี้ต้องดำเนินไปอย่างพร้อมๆกัน
ถึงจะเป็นการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ
ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง
ทฤษฎีความจำสองกระบวนการ (Two – Process
Theory of Memory)
ทฤษฎีนี้สร้างขึ้นโดย
แอตคินสัน และชิฟฟริน (Atkinson
and Shiffrin) ในปี ค.ศ. 1968 กลาวถึงความจำระยะสั้นหรือความจำทันทีทันใดและความจำระยะยาวว่า
ความจำระยะสั้นเป็นความจำชั่วคราว สิ่งใดก็ตามถ้าอยู่ในความจำระยะสั้นจะต้องไดรับการทบทวนอยู่ตลอดเวลามิฉะนั้นความจำ
สิ่งนั้นจะสลายตัวไปอย่างรวดเร็ว ในการทบทวนนั้นเราจะไมสามารถทบทวนทุกสิ่งที่เข้ามาอยู่ในระบบความจำระยะสั้น
ดังนั้นจำนวนที่เราจำไดในความจำระยะสั้นจึงมีจำกัดการทบทวนป้องกันไมใหความจำสลายตัวไปจากความจำระยะสั้น
และถ้าสิ่งใดอยู่ในความจำระยะสั้นเป็นระยะเวลายิ่งนานสิ่งนั้นก็มีโอกาสฝังตัวในความจำระยะยาว
ถ้าเราจำสิ่งใดได้ในความจำระยะเวลายิ่งนานสิ่งนั้นก็มีโอกาสฝังตัวในความจำระยะยาว ถาเราจำสิ่งใดไว้ในความจำระยะยาวสิ่งนั้นก็จะติดอยู่ในความทรงจำตลอดไป
(ชัยพร วิชชาวุธ, 2520)
ทฤษฎีการสลายตัว (Decay Theory)
เป็นทฤษฎีการลืม
กลาวว่า การลืมเกิดขึ้นเพราะการละเลยในการทบทวน หรือไมนำสิ่งที่จะจำไว้ออกมาใช้เป็นประจำ
การละเลยจะทำให้ความจำค่อยๆ สลายตัวไปเองในที่สุด ทฤษฎีการสลายตัวนี้น่าจะเป็นจริงในความจำระยะสั้น
เพราะในความจำระยะสั้นหากเรามิไดจดจ่อหรือสนใจทบทวนในสิ่งที่ตองการจะจำเพียงชั่วครูสิ่งนั้นจะหายไปจากความทรงจำทันที
(Adams,
1967 : 23 - 25)
หลักการรับรูภาพและสัญลักษณ์
มนุษย์สามารถจำภาพสารพัดชนิดที่ผ่านมาได
และภาพต่างๆ ถูกเก็บในจิตสำนึกซึ่งมนุษย์สามารถระลึกออกมาไดอย่างถูกต้องโดยอาศัยหลัก
3 ขอ คือ (พงษสวัสดิ์ ลาภบุญเรือง, 2516 : 12, อางจาก Fleming and Sheikhian, 1972)
1. เมื่อมนุษย์ไดเห็นภาพใด ๆ เขา
ยอมแปลความหมายออกมาเป็นถ้อยคำหรือรูปลักษณะต่างๆ ตามแต่ความทรงจำที่เขาสะสมไว
2.
มนุษย์จะตอบสนองสิ่งเร้าใหม่ที่เป็นภาพหรือสัญลักษณ์ ในลักษณะที่ไมเป็นภาษาหรือจินตนาการก่อน
หลังจากนั้นชั่วขณะหนึ่งจะสามารถบอกไดวาสิ่งนั้นคืออะไร
3.
มนุษย์มิไดเก็บความจำไวในระบบประสาท แต่คงอยู่เฉพาะในรูปแบบของการรับรู เช่น เมื่อดูภาพหนึ่งที่มีทั้งภาพและคำ
เขาจะนึกถึงภาพหรือคำอย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วแต่ว่าอย่างไหนจะเด่นชัดกว่ากัน ซึ่งหลักข้อนี้สนับสนุนสิ่งเร้าที่เป็นภาพและคำคูกัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น